สหรัฐเผชิญความเสี่ยงในภาคการเงินและวิกฤตเพดานหนี้ มีแนวโน้มกดดันเศรษฐกิจระยะข้างหน้า จากความเสี่ยงเรื่องวิกฤตภาคธนาคารที่ยังคงมีอยู่ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในการประชุมเดือนพฤษภาคมที่ 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ก่อนส่งสัญญาณยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มโตชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ในเดือนมีนาคม ดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (PCE) เพิ่มขึ้น 4.2% YoY ขณะที่ ดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (core PCE) เพิ่มขึ้น 4.6% ในส่วนของตัวเลข GDP ไตรมาส 1/66 (ประมาณการครั้งที่ 1) ขยายตัว 1.1% QoQ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ 2.0% ในขณะที่ สภาผู้แทนฯสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางรวมถึงมาตรการปรับลดการใช้จ่ายในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ประเด็นความเสี่ยงเรื่องวิกฤตเพดานหนี้ของสหรัฐจะเข้ามามีน้ำหนักต่อมุมมองเศรษฐกิจมากขึ้นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าหรือก่อนที่เงินคงคลังจะหมดลงในเดือนมิถุนายน ในกรณีที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ได้และนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้อาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ สำหรับความเสี่ยงในภาคธนาคาร
ล่าสุด First Republic Bank ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักจนทำให้ทางการต้องเข้ามาดูแลกิจการ และ JPMorgan ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่สุดของสหรัฐเข้าซื้อกิจการของธนาคาร First Republic อย่างไรก็ตาม ปัญหาของธนาคารในระดับภูมิภาค (Regional Banks) ยังคงกดดันภาคการเงินในสหรัฐ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดคงความเข้มงวดของนโยบายการเงิน
เงินเฟ้อ เม.ย.66 สูงขึ้น 2.67% ชะลอตัวอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน
น้ำมันโลกดิ่ง 5% ผวาสหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ยคืนนี้
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้แข็งค่า จ่อหลุด 34 คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
การส่งออกที่หดตัวน้อยกว่าคาด การฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ บวกกับมุมมองเงินเฟ้อของธปท. หนุนโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม
การส่งออกเดือนมีนาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แต่มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 1 ปี กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกเดือนมีนาคมอยู่ที่ 27.7 พันล้านดอลลาร์ หดตัว 4.2% YoY ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัวที่ 14% และหากหักน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัวที่ 1.3% โดยการส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ปรับดีขึ้น โดยหดตัวน้อยลงในตลาดจีน อาเซียน และ CLMV และบางตลาดสำคัญเริ่มกลับมาขยายตัว อาทิ สหรัฐ และญี่ปุ่น
ด้านการส่งออกรายสินค้า พบว่าการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ 4.2% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง น้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และข้าว ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมยังหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ 5.9% อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกสำคัญที่ยังขยายตัวได้ในเดือนมีนาคม อาทิ รถยนต์ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศ ด้านดุลการค้าเดือนมีนาคมกลับมาเกินดุลเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ที่ 2.72 พันล้านดอลลาร์
มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนมีนาคมมีสัญญาณปรับดีขึ้น โดยมีมูลค่าส่งออกเกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รองจากเดือนมีนาคมปี 2565 ที่ 28.9 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 70.3 พันล้านดอลลาร์ หดตัว 4.5%YoY ทั้งนี้ การส่งออกในช่วงที่เหลือของปียังมีผลบวกจากการเปิดประเทศของจีน การคลี่คลายลงของภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน และความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากประเทศคู่ค้า
อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญแรงกดดันจากความอ่อนแอของภาคการผลิตของโลก การชะลอตัวของอุปสงค์จากประเทศเศรษฐกิจหลักที่ได้รับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดและมีปัญหาในสถาบันการเงิน วิจัยกรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2566 อาจเติบโตเพียง 0.5%
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดือนมีนาคมยังคงได้แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมีนาคมขยายตัวที่ 6.0% นำโดยการใช้จ่ายในภาคบริการที่เติบโตตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่วนการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและไม่คงทนชะลอลงเล็กน้อย
ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนกำลังซื้อของภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะการจ้างงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส่วนการลงทุนภาคเอกชนกลับมาหดตัวที่ 1.6% โดยลดลงทั้งการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ด้านต่างประเทศมูลค่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยอยู่ที่ 2.22 ล้านคน จาก 2.11 ล้านคนในเดือนกุมภาพันธ์
เครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสแรกของปี 2566 สะท้อนทิศทางที่ขยายตัวจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของภาคท่องเที่ยวทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่งผลให้ภาคบริการและการใช้จ่ายในประเทศปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงก่อให้เกิดการจ้างงาน อัตราการว่างงานปรับลดลงมาต่ำกว่า 1.0% เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ขณะเดียวกันมูลค่าการส่งออกสินค้าปรับเพิ่มขึ้นแม้จะยังหดตัวอยู่ก็ตาม
สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน ข้อความในจดหมายเปิดผนึกที่ธปท.ชี้แจงต่อกระทรวงการคลังระบุว่า “การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีความเหมาะสมในบริบทปัจจุบัน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามโดยเฉพาะจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ (Demand-pull-inflation) ที่อาจเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวและตัวเลขการส่งออกที่ดีเกินคาด ประกอบกับมุมมองล่าสุดของธปท.ซึ่งระบุถึงความกังวลเงินเฟ้อพื้นฐานที่อาจทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ปัจจัยเหล่านี้บ่งชี้ว่ากนง.มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่ 1.75% เป็น 2.00% ในการประชุมวันที่ 31 พฤษภาคมนี้